สถานการณ์การผลิตและการตลาดรายสัปดาห์ 10-16 กรกฎาคม 2563

 

ข้าว
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
1.1 มาตรการสินค้าข้าว
1) แผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63
มติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 และมติที่ประชุม นบข. ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 เห็นชอบในหลักการตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร ปีการผลิต 2562/63 ตามมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับติดตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 การดำเนินงานประกอบด้วย 5 ช่วง ดังนี้
ช่วงที่ 1 การกำหนดอุปสงค์ อุปทานข้าว ได้กำหนดอุปสงค์ 32.48 ล้านตันข้าวเปลือกอุปทาน 34.16
ล้านตันข้าวเปลือก
ช่วงที่ 2 ช่วงการผลิตข้าว ได้แก่
1.1) การกำหนดพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว เป้าหมายรอบที่ 1 จำนวน 58.99 ล้านไร่
โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประกาศพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าวแล้ว เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และรอบที่ 2 จำนวน 13.81 ล้านไร่
1.2) การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เป้าหมาย รอบที่ 1 จำนวน 4.00 ล้านครัวเรือน และ รอบที่  2 จำนวน 0.30 ล้านครัวเรือน
1.3) การจัดการปัจจัยการผลิต ได้แก่ โครงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ดี และควบคุมค่าเช่าที่นา
1.4) การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การจัดรูปที่ดินและปรับระดับพื้นที่นา
1.5) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ได้แก่ (1) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่
(นาแปลงใหญ่) (2) โครงการส่งเสริมการผลิตและการตลาดข้าวพันธุ์ กข43 (3) โครงการส่งเสริมระบบเกษตร
แบบแม่นยำสูง (4) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพชั้นเลิศ (5) โครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์
(6) โครงการรักษาระดับปริมาณการผลิตและคุณภาพข้าวหอมมะลิ (7) โครงการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตข้าวในพื้นที่
ลุ่มต่ำ 13 ทุ่ง (8) โครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น (Zoning by Agri-Map)
(9) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย (10) โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด และ (11) โครงการประกันภัยพืชผล
ช่วงที่ 3 ช่วงการเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ (1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
รถเกี่ยวนวดข้าว และ (2) โครงการยกระดับมาตรฐานโรงสี กลุ่มเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพ
การเชื่อมโยงตลาดข้าวนาแปลงใหญ่
ช่วงที่ 4 ช่วงการตลาดในประเทศได้แก่ (1) โครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ครบวงจร
(2) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ข้าวของไทยทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ พ.ศ. 2563-2565
(3) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสร้างการรับรู้ถึงคุณประโยชน์ของการบริโภคผลผลิตภัณฑ์น้ำนมข้าว
(4) โครงการรณรงค์บริโภคข้าวสาร Q และข้าวพันธุ์ กข43 ปีการผลิต 2561/62 (5) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว
และปรับปรุงคุณภาพข้าว (6) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (7) โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการในการเก็บสต็อก และ (8) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก
ช่วงที่ 5 ช่วงการตลาดต่างประเทศได้แก่ (1) การจัดหาและเชื่อมโยงตลาดต่างประเทศ (2) การส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมข้าว (3) การส่งเสริมพัฒนาการค้าสินค้ามาตรฐานและปกป้องคุ้มครองเครื่องหมายการค้า/เครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทย และ (4) การประชาสัมพันธ์การบริโภคข้าวและผลิตภัณฑ์ของไทยทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
2) โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกร
ผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 ภายในกรอบวงเงินงบประมาณ 21,495.74 ล้านบาท เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านราคาไม่ให้ประสบปัญหาขาดทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว และให้กลไกตลาดทำงานเป็นปกติ โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ดังนี้
2.1) ชนิดข้าว ราคา และปริมาณประกันรายได้ (ณ ราคาความชื้นไม่เกิน 15%) โดยชดเชยเป็นจำนวนตันในแต่ละชนิดข้าว ดังนี้
ชนิดข้าว ราคาประกันรายได้ ครัวเรือนละไม่เกิน
(บาท/ตัน) (ตัน)
ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 14
ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 16
ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 30
ข้าวเปลือกหอมปทุมธานี 11,000 25
ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 16
กรณีเกษตรกรเพาะปลูกข้าวมากกว่า 1 ชนิด ได้สิทธิ์ไม่เกินจำนวนขั้นสูงของข้าวแต่ละชนิด เมื่อรวมกันต้องไม่เกินขั้นสูงของชนิดข้าวที่กำหนดไว้สูงสุดและได้สิทธิ์ตามลำดับระยะเวลาที่แจ้งเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละชนิด
2.2) เกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการชดเชย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ปลูกข้าวระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ตุลาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน 2562 - 28 กุมภาพันธ์ 2563
2.3) ระยะเวลาที่ใช้สิทธิขอชดเชย เกษตรกรสามารถใช้สิทธิระหว่างวันที่ 15 ตุลาคม 2562 -
28 กุมภาพันธ์ 2563 ยกเว้นภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่
วันที่เก็บเกี่ยวเป็นต้นไป ยกเว้นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวก่อนวันที่กำหนดให้ใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันเริ่มโครงการ
2.4) การประกาศราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการฯ ได้ประกาศราคาอ้างอิง งวดที่ 1 - 4 ทุก 15 วัน โดยจ่ายเงินครั้งแรก ในวันที่ 15 ตุลาคม 2562  สำหรับเกษตรกรได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่เก็บเกี่ยว - 15 ตุลาคม 2562 สำหรับงวดที่ 5 เป็นต้นไป ได้ปรับการประกาศใหม่เป็นทุกวันศุกร์
(ทุก 7 วัน) เพื่อให้ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในช่วงที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวและจำหน่ายข้าว
3) โครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เห็นชอบในหลักการโครงการสนับสนุนต้นทุนการผลิต
ให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกร และช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยดำเนินการในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ วงเงินงบประมาณ 25,482.06 ล้านบาท ดังนี้
3.1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 (รอบที่ 1) ประมาณ 4.31 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่
3.2) ระยะเวลาจ่ายเงินสนับสนุน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2562 ยกเว้นภาคใต้ ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 เมษายน 2563
4) โครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ธันวาคม 2562 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว
ปีการผลิต 2562/63 จำนวน 26,458.89 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวข้าวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นรวมถึง
เพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
4.1) กลุ่มเป้าหมาย เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) จำนวนประมาณ 4.57 ล้านครัวเรือน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาทครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท โดยพื้นที่เพาะปลูก
ที่ได้รับการช่วยเหลือต้องไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากโครงการเยียวยาผู้ประสบภัยธรรมชาติจากรัฐบาลแล้วเว้นแต่เกษตรกรจะนำพื้นที่ประสบภัยนั้นไปแจ้ง กสก. เพื่อเพาะปลูกข้าวใหม่ทันในช่วงเวลาเพาะปลูกรอบที่ 1
4.2) ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 - 30 กันยายน 2563
1.2 ราคา
1) ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศ
ข้าวเปลือกเจ้านาปีหอมมะลิ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 14,680 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,736 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.38
ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 8,929 บาท ราคาลดลงจากตันละ 8,953 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.27
2) ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 1 (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 32,050 บาท ราคาลดลงจากตันละ 32,217 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.52
ข้าวขาว5% (ใหม่) สัปดาห์นี้ เฉลี่ยตันละ 13,210 บาท ราคาลดลงจากตันละ 14,483 บาท
ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 8.79
3) ราคาส่งออกเอฟโอบี
ข้าวหอมมะลิไทย 100% (ใหม่) สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,003 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,293 บาท/ตัน) ราคา
ลดลงจากตันละ 1,010 ดอลลาร์สหรัฐฯ (31,208 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.69 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทตันละ85 บาท
ข้าวขาว 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 459 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,320 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 478 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,770 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.97 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 450 บาท
ข้าวขาว 25% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 449 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,008 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 466 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,399 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 3.65 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 391 บาท
ข้าวนึ่ง 5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 472 ดอลลาร์สหรัฐฯ (14,726 บาท/ตัน) ราคาลดลงจากตันละ 507 ดอลลาร์สหรัฐฯ (15,666 บาท/ตัน) ในสัปดาห์ก่อนร้อยละ 6.90 และลดลงในรูปเงินบาทตันละ 940 บาท
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยนสัปดาห์นี้ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่ากับ 31.1990
2. สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สำคัญ
เกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 หน่วยงาน Korea Agri-Fisheries and Food Trade Corporation (KAFTC or aT) ประกาศผลการประมูลการนำเข้าข้าวแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic bidding) ผลปรากฏว่า เกาหลีใต้ตกลงซื้อข้าวกล้อง (non-glutinous brown rice) ทั้งเมล็ดสั้นและเมล็ดยาวรวม 80,605 ตัน แบ่งเป็นจากจีน 79,105 ตัน และไทย 1,500 ตัน กำหนดส่งมอบภายใน 31 ตุลาคม 2563 และ 31 มีนาคม 2564
โดยเกาหลีใต้ตกลงซื้อข้าวกล้องเมล็ดสั้น (non-glutinous brown rice shortgrain) จากจีนจำนวน 79,105 ตัน
แบ่งเป็นล็อต ล็อตละ 20,000 ตัน จำนวน 3 ล็อต ในราคา 857-859 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และอีก 1 ล็อต จำนวน 19,105 ตัน ในราคา 857.7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และซื้อข้าวสารเมล็ดยาวจากไทยจำนวน 1,410 ตัน ในราคา 575 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และข้าวหอมมะลิจำนวน 90 ตัน ในราคา 1,255.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ที่ผ่านมา ในการประมูลเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 หน่วยงานของเกาหลีใต้ได้ตกลงซื้อข้าวจากจีนจำนวน 40,000 ตัน แบ่งเป็นข้าวจำนวน 20,000 ตัน ในราคา 845.47 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากบริษัท Shinsong Foods
Co., Ltd. และข้าวจำนวน 20,000 ตัน ในราคา 845.26 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากบริษัท POSCO International
Co., Ltd. โดยกำหนดส่งมอบตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน - 31 ธันวาคม 2563
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดการณ์ว่าปีการตลาด 2563/64 (พฤศจิกายน 2563 – ตุลาคม 2564)
เกาหลีใต้จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 3.86 ล้านตันข้าวสาร จากพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 4.55 ล้านไร่ ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 848 กิโลกรัมต่อไร่
ด้านการบริโภคในปี 2563/64 คาดว่ามีประมาณ 3.99 ล้านตัน ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะมีประมาณ 500,000 ตัน เท่ากับปีก่อน
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้หยุดจัดสรรข้าวเก่าสำหรับผลิตอาหารสัตว์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 เนื่องจากการนำไปใช้
ผลิตอาหารสัตว์ลดลงเหลือ 75,275 ตัน และข้าวกล้องที่ใช้ผลิตเป็นอาหารสัตว์คาดว่าจะลดลงประมาณร้อยละ 75
จากปีที่แล้ว โดยในช่วงเวลาที่เหลือของปี คาดว่าลดลงเหลือประมาณ 70,000 ตัน
สำหรับแผนการจัดหาข้าวตามกรอบ TRQ ในปี 2563 คาดว่าเกาหลีใต้จะซื้อข้าวประมาณ 408,700 ตันข้าวสาร
ภายใต้ข้อตกลงทางภาษีรูปแบบใหม่ที่มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 ซึ่งภายใต้ระบบนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้จัดสรรโควตานำเข้ารายประเทศ (country-specific quota : CSQ) เพื่อนำเข้าข้าวจากประเทศต่างๆ ประกอบด้วย สหรัฐฯ 132,304  ตัน จีน 157,195 ตัน เวียดนาม 55,112 ตัน ไทย 28,494 ตัน ออสเตรเลีย 15,595 ตัน และมีโควตาที่ไม่ระบุประเทศ (Most-Favored Nation : MFN) อีก 20,000 ตัน ซึ่งตามแผนการจัดหาข้าวตามกรอบ TRQ ของปี 2563
นับจนถึงขณะนี้ เกาหลีใต้ซื้อข้าวแล้วประมาณ 132,994 ตัน คิดเป็นร้อยละ 33 ของโควตาทั้งหมด ส่วนการส่งมอบส่วนที่เหลืออีกประมาณ 2 ใน 3 คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564
ด้านการส่งออก คาดว่าปี 2563/64 จะส่งออกข้าวประมาณ 53,000 ตัน เท่ากับปีก่อน ซึ่งภายใต้โครงการช่วยเหลือด้านอาหาร (The Food Assistance Convention : FAC) เกาหลีใต้ได้ส่งออกข้าวที่ผลิตในประเทศจาก
ปีการผลิต 2561 จำนวน 50,000 ตัน ไปยังประเทศแถบแอฟริกาและตะวันออกกลาง จำนวน 4 ประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2563 ประกอบด้วย เยเมน 19,000 ตัน เอธิโอเปีย 16,000 ตัน เคนย่า 10,000 ตัน และอูกันดา 5,000 ตัน
ด้านสต็อกข้าวสิ้นปีของในปี 2563/64 คาดว่าจะมีประมาณ 1.5 ล้านตัน เนื่องจากรัฐบาลได้ระงับการจัดสรรข้าวสำหรับผลิตอาหารสัตว์ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตัดสินใจที่จะจัดหาข้าวให้เพียงพอ เพื่อเตรียมส่งเป็นความช่วยเหลือ
ด้านอาหารที่วางแผนไว้สำหรับเกาหลีเหนือ
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 
สหภาพยุโรป
สหภาพยุโรป (The European Union : EU) รายงานว่า ปีการผลิต 2562/63 (ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 -
31 สิงหาคม 2563) ในช่วงวันที่ 1 กันยายน 2562 - 7 กรกฎาคม 2563 มีการนำเข้าข้าว (ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวสาร
ไม่รวมข้าวหัก) จำนวน 1,343,768 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.12 โดยเป็นการนำเข้าข้าวสายพันธุ์ Japonica จำนวน
249,431ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.63 ขณะที่ข้าวสายพันธุ์ Indica นำเข้าจำนวน 1,094,337 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.19
ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดวันที่ 7 กรกฎาคม 2563 สหภาพยุโรปนำเข้าข้าวจำนวน 40,100 ตัน โดยในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 - 7 กรกฎาคม 2563 มีประเทศต่างๆ ที่นำเข้าข้าว ประกอบด้วย สหราชอาณาจักร 283,951 ตัน ฝรั่งเศส 181,794 ตัน เนเธอร์แลนด์ 170,980 ตัน สเปน 103,058 ตัน อิตาลี 99,062 ตัน โปแลนด์ 92,478 ตัน เยอรมนี 73,349 ตัน โปรตุเกส 77,610 ตัน เบลเยียม 67,536 ตัน บัลแกเรีย 49,803 ตัน สาธารณรัฐเช็ก 31,224 ตัน สวีเดน 31,289 ตัน ลิทัวเนีย 17,096 ตัน สโลวาเกีย 11,296 ตัน เดนมาร์ค 9,121 ตัน โรมาเนีย 9,855 ตัน ฮังการี 7,711 ตัน ออสเตรีย 6,405 ตัน เป็นต้น
 
ทั้งนี้ ในช่วงวันที่ 1 กันยายน 2562 - 6 กรกฎาคม 2563 สหภาพยุโรปนำเข้าข้าวกล้อง (Husked rice)
(สายพันธุ์ Japonica และ Indica) จากปากีสถาน 188,850 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 นำเข้าจากอินเดีย 99,712 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 และนำเข้าจากเมียนมา 34,951 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,403 ส่วนนำเข้าจาก กายอานา 75,450 ตัน ลดลงร้อยละ 16.9 นำเข้าจากไทย 43,419 ตัน ลดลงร้อยละ 17.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ในกลุ่มของข้าวสารที่สีแล้วหรือสีบางส่วน (Total Milled & semi-milled) (สายพันธุ์ Japonica และ Indica)
มีการนำเข้าจากไทย 167,968 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.9 นำเข้าจากอินเดีย 98,021 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.8 และนำเข้าจากปากีสถาน 94,827 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ส่วนนำเข้าจากกัมพูชา150,654 ตัน ลดลงร้อยละ 8.7 นำเข้าจาก
เมียนมา 126,370 ตัน ลดลงร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ในกลุ่มของข้าวหัก (Broken rice) มีการนำเข้าจากเมียนมา 283,128 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 นำเข้าจาก
กายอานา 42,200 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 58.4 นำเข้าจากกัมพูชา 24,184 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.4 และนำเข้าจากรัสเซีย12,090 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 84.5 ส่วนนำเข้าจากไทย 21,124 ตัน ลดลงร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ประเทศในสหภาพยุโรป ช่วงตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 - 7 กรกฎาคม 2563 มีการนำเข้าข้าวชนิดต่างๆ โดยในส่วนของกลุ่มข้าวกล้อง (Husked rice) (สายพันธุ์ Japonica และ Indica) เช่น สหราชอาณาจักร 177,914 ตัน เนเธอร์แลนด์ 99,359 ตัน โปรตุเกส 69,017 ตัน เบลเยียม 55,523 ตัน สเปน 50,077 ตัน ฝรั่งเศส 45,253 ตัน และอิตาลี46,052 ตัน เป็นต้น และกลุ่มของข้าวสารที่สีแล้วหรือสีบางส่วน (Total Milled & semi-milled) (สายพันธุ์ Japonica และ Indica) เช่น ฝรั่งเศส 153,635 ตัน สหราชอาณาจักร 102,647 ตัน เนเธอร์แลนด์ 91,369 ตัน เยอรมนี 81,952 ตัน
อิตาลี 47,420 ตัน เป็นต้น และกลุ่มของข้าวหัก (Broken rice) เช่น เบลเยียม 206,920 ตัน สหราชอาณาจักร 71,928 ตัน
เนเธอร์แลนด์ 42,851 ตัน และฝรั่งเศส 41,216 ตัน เป็นต้น
ด้านการส่งออก ในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 - 7 กรกฎาคม 2563 มีการส่งออก (ข้าวเปลือก ข้าวกล้อง ข้าวสาร ไม่รวมข้าวหัก) จำนวน 196,641 ตัน ลดลงร้อยละ 9.39 เมื่อเทียบกับจำนวน 217,030 ตัน ในช่วงเดียวกัน
ของปีที่ผ่านมา โดยเป็นการส่งออกข้าวสายพันธุ์ Japonica จำนวน 158,599 ตัน ลดลงร้อยละ 13.56 ข้าวสายพันธุ์ Indicaจำนวน 38,042 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.38 ทั้งนี้ เมื่อสิ้นสุดวันที่ 7 กรกฎาคม 2563 สหภาพยุโรปส่งออกข้าว 2,247 ตัน โดยในช่วงตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 - 7 กรกฎาคม 2563 ประเทศที่ส่งออกข้าว ประกอบด้วย อิตาลี 105,001 ตัน โปรตุเกส 36,322 ตัน สเปน 23,789 ตัน บัลแกเรีย 7,255 ตัน โรมาเนีย 5,896 ตัน เบลเยียม 6,587 ตัน กรีซ 2,840 ตัน โปแลนด์ 2,428 ตัน สาธารณรัฐเช็ก 1,174 ตัน เยอรมนี 1,092 ตัน สโลเวเนีย 899 ตัน และเนเธอร์แลนด์592 ตัน เป็นต้น
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย
 
ไอวอรี่โคสต์
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) คาดการณ์ว่าในปีการตลาด 2563/64 (ตุลาคม 2563-กันยายน 2564)
ไอวอรี่โคสต์จะมีผลผลิตข้าวประมาณ 1.4 ล้านตันข้าวสาร โดยไอวอรี่โคสต์ถือเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่อันดับที่ 6
ในเขต Sub-Saharan Africa ต่อจากไนจีเรีย มาดากัสการ์ มาลี แทนซาเนีย และกินี ตามลำดับ
ด้านการบริโภค คาดว่าในปี 2563/64 มีประมาณ 2.45 ล้านตัน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรทำให้
ความต้องการบริโภคข้าวเพิ่มขึ้น
ด้านการนำเข้า คาดว่าในปี 2563/64 จะนำเข้าข้าวประมาณ 1.3 ล้านตัน โดยเวียดนามถือเป็นแหล่งนำเข้าข้าว
รายใหญ่ที่สุดของไอวอรี่โคสต์ รองลงมา ได้แก่ อินเดีย จีน และไทย ส่วนสต็อกข้าวสิ้นปี คาดว่าในปี 2563/64 จะมีสต็อกข้าวประมาณ 978,000 ตัน
ที่มา : สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย


กราฟราคาที่เกษตรกรขายได้ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% และราคาขายส่งตลาด กทม. ข้าวสารเจ้า 5%
 
 


ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาในประเทศ
ราคาข้าวโพดภายในประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ มีดังนี้
ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ความชื้นไม่เกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.30 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 7.91 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.93 และราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ ความชื้นเกิน 14.5% สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.90 บาท เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 5.87 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.51
ราคาข้าวโพดขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ ที่โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อสัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ  8.98 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 9.11 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.43 และราคาขายส่งไซโลรับซื้อ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 8.46 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 8.61 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.74
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี. สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 294.20 ดอลลาร์สหรัฐ (9,179 บาท/ตัน) ลดลงจากตันละ 300.67 ดอลลาร์สหรัฐ (9,290 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.15 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 111บาท
ราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดชิคาโกเดือนกันยายน 2563 ข้าวโพดเมล็ดเหลืองอเมริกันชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 336.98 เซนต์ (4,178 บาท/ตัน) ลดลงจากบุชเชลละ 346.15 เซนต์ (4,269 บาท/ตัน) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 2.65 และลดลงในรูปของเงินบาทตันละ 91 บาท


 


มันสำปะหลัง

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
การผลิต
ผลผลิตมันสำปะหลัง ปี 2563 (เริ่มออกสู่ตลาดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) คาดว่ามีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.74 ล้านไร่ ผลผลิต 28.531 ล้านตัน ผลผลลิตต่อไร่ 3.27 ตัน เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีพื้นที่เก็บเกี่ยว 8.67 ล้านไร่ ผลผลิต 31.080 ล้านตัน และผลผลิตต่อไร่ 3.59 ตัน พบว่า พื้นที่เก็บเกี่ยว เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 แต่ผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ ลดลงร้อยละ 8.20 และร้อยละ 8.95 ตามลำดับ โดยเดือนกรกฎาคม 2563 คาดว่าจะมีผลผลิตออกสู่ตลาด 0.34 ล้านตัน (ร้อยละ 1.19 ของผลผลิตทั้งหมด)
ทั้งนี้ผลผลิตมันสำปะหลังปี 2563 จะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2563 ปริมาณ 18.40 ล้านตัน (ร้อยละ 64.50 ของผลผลิตทั้งหมด)
การตลาด
ผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ตลาดลดลง และหัวมันสำปะหลังมีเชื้อแป้งต่ำ เนื่องจากมีฝนตกชุกและเป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว สำหรับลานมันเส้นหยุดดำเนินการส่วนโรงงานแป้งมันสำปะหลังเปิดดำเนินการไม่มาก
ราคาที่เกษตรกรขายได้ทั้งประเทศประจำสัปดาห์ สรุปได้ดังนี้
ราคาหัวมันสำปะหลังสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.65 ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 1.62 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.85
ราคามันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 5.76 บาท ราคาสุงขึ้นจากกิโลกรัมละ 4.88 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 18.03
ราคาขายส่งในประเทศ
ราคาขายส่งมันเส้น (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต จ.ชลบุรี และ จ.อยุธยา) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 6.24 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 6.13 บาท ในสัปดาห์ก่อน คิดเป็นร้อยละ 1.79
ราคาขายส่งแป้งมันสำปะหลังชั้นพิเศษ (ส่งมอบ ณ คลังสินค้าเขต กรุงเทพและปริมณฑล) สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.95 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี
ราคาส่งออกมันเส้น สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 235 ดอลลาร์สหรัฐฯ (7,332 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัว เท่ากับสัปดาห์ก่อนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (7,265 บาทต่อตัน)
ราคาส่งออกแป้งมันสำปะหลัง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 433 ดอลลาร์สหรัฐฯ (13,509 บาทต่อตัน) ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อนในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (13,386 บาทต่อตัน)

 


ปาล์มน้ำมัน

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าปี 2563 ผลผลิตปาล์มน้ำมันเดือนกรกฎาคมจะมีประมาณ 1.502 
ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.270 ล้านตัน ลดลงจากผลผลิตปาล์มทะลาย 1.545 ล้านตัน คิดเป็นน้ำมันปาล์มดิบ 0.278 ล้านตัน ของเดือนมิถุนายน คิดเป็นร้อยละ 2.78 และร้อยละ 2.88 ตามลำดับ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาผลปาล์มทะลาย สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 2.91 บาท สูงขึ้นจาก กก.ละ 2.86 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.75                               
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาน้ำมันปาล์มดิบ สัปดาห์นี้เฉลี่ย กก.ละ 18.50 บาท ลดลงจาก กก.ละ 19.13 บาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 3.29  
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มมาเลเซียสูงสุดในรอบ 4 วัน เนื่องจากผลผลิตลดลงและมีสัญญาณว่าการบริโภคมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ราคาอ้างอิง ณ เดือนตุลาคม ตลาดเบอร์ซามาเลเซีย สูงขึ้น 1.5 เปอร์เซ็นต์ เป็น 2,567 ริงกิต มาเลเซียส่งออกลดลง 9-10 เปอร์เซ็นต์จากเดือนมิถุนายน บริษัท PT Pertamina ของอินโดนีเซีย ผลิต D100 ได้เป็นครั้งแรกเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และเริ่มผลิตวันละ 1,000 บาร์เรล 
ราคาในตลาดต่างประเทศ
ตลาดมาเลเซีย ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 2,557.65 ดอลลาร์มาเลเซีย (19.13 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 2,443.70 ดอลลาร์มาเลเซีย (18.06 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.66  
ตลาดรอตเตอร์ดัม ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันปาล์มดิบสัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 643.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (20.35 บาท/กก.) สูงขึ้นจากตันละ 618.13 ดอลลาร์สหรัฐฯ (19.37 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 4.10
หมายเหตุ :  ราคาในตลาดต่างประเทศเฉลี่ย 5 วัน


อ้อยและน้ำตาล

        1. สรุปภาวะการผลิต  การตลาดและราคาในประเทศ    
         
           ไม่มีรายงาน

 
        2. สรุปภาวการณ์ผลิตการตลาดและราคาในต่างประเทศ



       
 

 
ถั่วเหลือง

1. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วเหลืองชนิดคละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 16.00 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งถั่วเหลืองสกัดน้ำมัน สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
2. ภาวะการผลิต การตลาด และราคาในตลาดต่างประเทศ
สถานการณ์ในต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การนำเข้าถั่วเหลืองของจีนในปี 2562/63 และ 2563/64 ประมาณ 96.00 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 17% จากปี 2561/62 โดยจีนรับซื้อถั่วเหลืองจากบราซิลมากกว่า 75% และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2563/64 เนื่องจากเริ่มฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดโรคไข้หวัดหมูแอฟริกา ซึ่งในขณะนั้นจีนได้สูญเสียประชากรสุกรมากกว่า 50% และต่อมาจำนวนสุกรได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2562
ทั้งนี้ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของประชากรสุกรและการเติบโตของการผลิตสัตว์ปีกคาดว่าจะสนับสนุนความต้องการถั่วเหลืองเพิ่มขึ้นในปี 2562/63 และ 2563/64
ราคาในตลาดต่างประเท (ตลาดชิคาโก)
ราคาซื้อขายล่วงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยบุชเชลละ 885.92 เซนต์ (10.29 บาท/กก.) ลดลงจากบุชเชลละ 896.60 เซนต์ (10.32 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 1.19
ราคาซื้อขายล่วงหน้ากากถั่วเหลือง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 286.08 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.05 บาท/กก.) ลดลงจากตันละ 293.85 ดอลลาร์สหรัฐฯ (9.21 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 2.64
ราคาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันถั่วเหลืองสัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 28.53 เซนต์ (19.88 บาท/กก.) สูงขึ้นจากปอนด์ละ 28.46 เซนต์ (19.65 บาท/กก.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาร้อยละ 0.25


 

 
ยางพารา

 

 
สับปะรด

 

 
ถั่วเขียว

สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดใหญ่คละ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 24.02 บาท สูงขึ้นจากราคากิโลกรัมละ 23.75 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.14
ถั่วเขียวผิวมันเมล็ดเล็กคละ และถั่วเขียวผิวดำคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน  
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 29.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน  
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 31.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 17.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 40.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี        
ถั่วเขียวผิวมันเกรดเอ สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,059.60 ดอลลาร์สหรัฐ (33.06 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,067.67 ดอลลาร์สหรัฐ (32.99 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.76 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.07 บาท
ถั่วเขียวผิวมันเกรดบี สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 962.80 ดอลลาร์สหรัฐ (30.04 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 970.67  ดอลลาร์สหรัฐ (29.99 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.81 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,027.40 ดอลลาร์สหรัฐ (32.05 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 1,035.67 ดอลลาร์สหรัฐ (32.00 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.80 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.04 บาท
ถั่วเขียวผิวดำ ชั้น 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 575.00 ดอลลาร์สหรัฐ (17.94 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ 579.67 ดอลลาร์สหรัฐ (17.91 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.81 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.03 บาท
ถั่วนิ้วนางแดง สัปดาห์นี้เฉลี่ยตันละ 1,311.80 ดอลลาร์สหรัฐ (40.93 บาท/กิโลกรัม) ลดลงจากตันละ  1,323.00 ดอลลาร์สหรัฐ (40.88 บาท/กิโลกรัม) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 0.85 แต่สูงขึ้นในรูปเงินบาทกิโลกรัมละ 0.05 บาท


 

 
ถั่วลิสง
 
สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ความเคลื่อนไหวของราคาประจำสัปดาห์ มีดังนี้ 
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกแห้ง สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 46.67 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 41.11 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 13.52
ราคาถั่วลิสงทั้งเปลือกสด สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 23.67 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 24.80 บาท ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 4.56
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดพิเศษ สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 60.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน
ราคาถั่วลิสงกะเทาะเปลือกชนิดคัดธรรมดา สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 56.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ก่อน


 

 
ฝ้าย

1. สรุปภาวะการผลิต การตลาด และราคาภายในประเทศ
ราคาที่เกษตรกรขายได้
ราคาฝ้ายรวมเมล็ดชนิดคละ สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้าตลาดนิวยอร์ก (New York Cotton Futures)
ราคาซื้อ-ขายล่วงหน้า เพื่อส่งมอบเดือนตุลาคม 2563 สัปดาห์นี้เฉลี่ยปอนด์ละ 63.32 เซนต์(กิโลกรัมละ 44.14 บาท) ลดลงจากปอนด์ละ 64.06 เซนต์ (กิโลกรัมละ 44.24 บาท) ของสัปดาห์ก่อนร้อยละ 1.16 (ลดลงในรูปของเงินบาทกิโลกรัมละ 0.10 บาท)

 
 

 
ไหม

ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 1 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,750 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,837 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 4.74
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 2 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 1,429 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 1,508 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 5.23
ราคาเส้นไหมพื้นเมืองเกรด 3 สัปดาห์นี้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 875 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 867 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.92


 

 
ปศุสัตว์

สุกร
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
  
สัปดาห์นี้ราคาสุกรมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการบริโภคเนื้อสุกรที่มีมากขึ้น ส่งผลให้ภาวะตลาดสุกรเริ่มคึกคักและคล่องตัว แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัวหรือสูงขึ้นเล็กน้อย
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
สุกรมีชีวิตพันธุ์ผสมน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ  70.17 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 70.64 ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.75 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 67.88 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 66.29 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 72.91 บาท และภาคใต้ กิโลกรัมละ 71.00 บาท ส่วนราคาลูกสุกรตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้  ตัวละ 2,800 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 2,600 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 7.69
ราคาขายส่งสุกรมีชีวิต ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 79.83 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 78.50 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.69


ไก่เนื้อ
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ

สัปดาห์นี้ราคาไก่เนื้อมีชีวิตที่เกษตรกรขายได้ค่อนข้างทรงตัวจากสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากผลผลิตไก่เนื้อออกสู่ตลาดใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคไก่เนื้อที่เริ่มมีมากขึ้น แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไก่เนื้อที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ กิโลกรัมละ 34.69 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 34.52 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.49 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 35.00 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 34.08 บาท ภาคใต้ กิโลกรัมละ 40.60 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่เนื้อตามประกาศของบริษัท ซี.พี ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 12.50 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา  
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไก่มีชีวิตหน้าโรงฆ่า จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.50 บาท และราคาขายส่งไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


ไข่ไก่
สถานการณ์การผลิต การค้า และราคาในประเทศ
   

แม้ว่าตลาดหลักของไข่ไก่คือสถานศึกษาเปิดภาคเรียนซึ่งคาดว่าราคาและความต้องการบริโภคจะเพิ่มขึ้น แต่จากผลผลิตไข่ไก่ที่ผ่านมายังคงมีมากและสะสม ทำให้เริ่มทยอยออกสู่ท้องตลาดมากขึ้น แนวโน้มคาดว่าสัปดาห์หน้าราคาจะทรงตัว
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่ไก่ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 274 บาท ลดลงจากร้อยฟองละ 278 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 1.44 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 295 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 261 บาท ภาคกลางร้อยฟองละ 273 บาท และภาคใต้ไม่มีรายงาน ส่วนราคาลูกไก่ไข่ตามประกาศของบริษัท ซี.พี. ในสัปดาห์นี้ ตัวละ 26.00 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา   
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่ไก่ (เฉลี่ยเบอร์ 0-4) ในตลาดกรุงเทพฯจากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 335 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 295 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 13.56


ไข่เป็ด
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
ราคาไข่เป็ดที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศร้อยฟองละ 346 บาท สูงขึ้นจากร้อยฟองละ 343 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.87 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ ร้อยฟองละ 370 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยฟองละ 358 บาท ภาคกลาง ร้อยฟองละ 320 บาท และภาคใต้ ร้อยฟองละ 350 บาท
ราคาขายส่งในตลาดกรุงเทพฯ
ราคาขายส่งไข่เป็ดคละ ณ แหล่งผลิตภาคกลาง จากกรมการค้าภายใน เฉลี่ยร้อยฟองละ 380 บาท ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา


โคเนื้อ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ
   
ราคาโคพันธุ์ลูกผสม (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้ เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 93.13 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 92.34 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.86 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.77 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 94.96 บาท ภาคกลาง กิโลกรัมละ 85.64 บาท และภาคใต้ ไม่มีรายงานราคา


กระบือ
ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศ

ราคากระบือ (ขนาดกลาง) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยทั้งประเทศกิโลกรัมละ 71.67 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 71.26 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ร้อยละ 0.58 โดยแยกเป็นรายภาคดังนี้ ภาคเหนือ กิโลกรัมละ 90.12 บาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กิโลกรัมละ 68.89 บาท  ภาคกลางและภาคใต้ไม่มีรายงานราคา

 
 

 

 
ประมง

สถานการณ์การผลิต การตลาดและราคาในประเทศ
1. การผลิต
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ 10 – 16 กรกฎาคม 2563) ไม่มีรายงานปริมาณจากองค์การสะพานปลากรุงเทพฯ
2. การตลาด
ความเคลื่อนไหวของราคาสัตว์น้ำที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้มีดังนี้ คือ
2.1 ปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 3 - 4 ตัว/กก.) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 50.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 70.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 ปลาช่อน (ขนาดกลาง) ราคาที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 88.04 บาท ราคาสูงขึ้น จากกิโลกรัมละ 83.70 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 4.34 บาท
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 130.00 บาท ราคา  ทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.3 กุ้งกุลาดำ ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัมและราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาดกลาง (60 ตัว/กก.) ไม่มีรายงานราคา
2.4 กุ้งขาวแวนนาไม ราคาที่ชาวประมงขายได้ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 149.13 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 146.54 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.59 บาท
 สำหรับราคา ณ ตลาดทะเลไทย จ.สมุทรสาครขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยกิโลกรัมละ 151.67 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 152.00 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.33 บาท
2.5 ปลาทู (ขนาดกลาง) ราคาปลาทูสดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 63.38 บาท ราคาลดลงจากกิโลกรัมละ 66.36 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 2.98 บาท
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 85.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.6 ปลาหมึกกระดอง (ขนาดกลาง) ราคาปลาหมึกกระดองสดที่ชาวประมงขายได้สัปดาห์นี้ไม่มีรายงานราคา
  สำหรับราคาประมูลจำหน่ายที่สะพานปลากรุงเทพฯ เฉลี่ยกิโลกรัมละ 200.00 บาท ราคาทรงตัวเท่ากับสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.7 ปลาเป็ดและปลาป่น ราคาปลาเป็ดที่ชาวประมงขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 9.96 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 9.74 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.22 บาท              
 สำหรับราคาขายส่งกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ปลาป่นชนิดโปรตีน 60% ขึ้นไป เฉลี่ยกิโลกรัมละ 33.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 32.67 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.33 บาท และปลาป่นชนิดโปรตีนต่ำกว่า 60% เฉลี่ยกิโลกรัมละ 27.00 บาท ราคาสูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 26.67 บาท ของสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.33 บาท